RHINOSHIELD TH x เยี่ยมชม Van Gogh Museum แบบเสมือนจริง

 

 

ชีวิตจะเป็นอย่างไรหากเราไม่มีความกล้าหาญที่จะทำสิ่งใด?
–ถ้อยคำจาก Vincent van Gogh ถึงน้องชาย Theo, 29 ธันวาคม 1881

 

 

ยินดีต้อนรับสู่เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะแบบเสมือนจริง! โดยในในบทความนี้ เราจะแบ่งปันแรงบันดาลใจที่อยู่เบื้องหลังคอลเลกชันเคสชุดใหม่ และพาทุกคนไปร่วมค้นพบส่วนเล็กๆ ของโลกและการเดินทางทางศิลปะของ Vincent van Gogh

 

คอลเลกชัน RHINOSHIELD x Van Gogh Museum นี้ เป็นส่วนเล็ก ๆ ที่เราอยากสนับสนุนให้ทุกคนมี "ความกล้าหาญที่จะทำทุกอย่าง" เหมือนอย่างที่แวนโก๊ะได้ทำ และเราได้เลือกชิ้นงานที่มีรูปแบบการวาดภาพที่โดดเด่นเพื่อแสดงถึงจุดสำคัญในเส้นทางอาชีพของเขา

 

โดยซีรีส์นี้ที่นำมาเสนอนี้ จะทำให้เราพบกับสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของแวนโก๊ะ ด้วยเทคนิคต่างๆ มากมาย

 

ชีวประวัติ Vincent van Gogh

 

Vincent van Gogh (1853-1890) เป็นหนึ่งในศิลปินชาวดัตช์ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก แม้เส้นทางศิลปินของเขานั่นสั้นเพียงหนึ่งทศวรรษ นับตั้งแต่ปี 1880 จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 1890 แต่ก็ได้รับสดุดีว่าคือศิลปินผู้มากด้วยฝีมือ

 

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา Van Gogh ใช้ความหลงใหลอันแรงกล้าของเขา สร้างผลงานอันน่าประทับใจมากมาย ทั้งภาพวาดสีน้ำมันกว่า 850 ภาพและภาพวาดลายเส้นกว่า 1300 ภาพที่ได้รับการเก็บรักษาไว้ รวมทั้งภาพสีน้ำ ภาพพิมพ์หิน และภาพสเก็ตจำนวนมาก

 

ตลอดช่วงชีวิตของ Van Gogh เขาเขียนจดหมายหลายร้อยฉบับถึง Theo น้องชายของเขาและสมาชิกครอบครัว รวมถึงเพื่อน ๆ เพื่อเป็นช่องทางสำคัญในการสื่อสารและการระบายความรู้สึก และเรื่องราวชีวประวัติของ Van Gogh รวมทั้งความคิดความอ่าน ส่วนใหญ่ก็ได้รับรู้จากจดหมายที่เขาเขียนเอาไว้

 

ในฐานะจิตรกร เขาคือคนที่เรียนรู้ด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ โดยเรียนรู้จากหนังสือเรียน บทเรียนที่สถาบันศิลปะของบรัสเซลส์และแอนต์เวิร์ป การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ และคำแนะนำจากเพื่อนศิลปิน เขาได้ฝึกฝนเรียนรู้เกี่ยวกับงานฝีมือ การนำศิลปะฝรั่งเศสสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี เขาได้พัฒนารูปแบบการวาดภาพที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ผ่านการใช้พู่กันที่สื่ออารมณ์และสีสันที่สดใส ซึ่งสไตล์ศิลปะนี้ถือเป็นแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นต่อๆ มา

 

หลังการเสียชีวิตของแวนโก๊ะ ผู้คนต่างให้ความสนใจในงานศิลปะ และหลงใหลในเรื่องราวชีวิตอันรันทดของเขา ความผิดหวัง การขาดการยอมรับ ความเจ็บป่วย และการฆ่าตัวตายของเขา

 

ศิลปินผู้มากความสามารถหลากหลายด้าน

 

งานออกแบบบางส่วนในคอลเลกชันนี้รวมถึงภาพเหมือนเล็กๆ หรือผลงานศิลปะที่เป็นตัวแทน แสดงให้เห็นขอบเขตของแวนโก๊ะในฐานะศิลปิน และความพยายามอย่างต่อเนื่องของเขาในการแสดงออกถึงตัวตนในปัจจุบันของเขาผ่านภาพวาด

 

'มีคนพูดว่า - และฉันค่อนข้างเต็มใจที่จะเชื่อ - เป็นการยากที่จะรู้จักตัวเอง - แต่ก็ไม่ง่ายที่จะวาดภาพตัวเองเช่นกัน' - Vincent van Gogh ถึง Theo น้องชายของเขา 5 กันยายน 1889

Self-Portrait with Grey Felt Hat

 

แวนโก๊ะวาดภาพเหมือนตนเองนี้เมื่อเขาอยู่ที่ปารีสในฤดูหนาวปี 1887–88 เขาได้ศึกษาเทคนิคของ Pointillists และนำไปประยุกต์ใช้ในรูปแบบของเขา เขาไล่สีสันในทิศทางที่ต่างกัน เมื่อไล่ตามโครงร่างของศีรษะ จะเหมือนกับการแผ่รัศมี ภาพวาดนี้เป็นหนึ่งในการทดลองใช้สีที่กล้าหาญที่สุดของ Van Gogh ในปารีส
เขาใช้พู่กันยาววางสีเสริมซึ่งกันและกัน สีฟ้าและสีส้มเป็นพื้นหลัง สีแดงและสีเขียวบนเคราและดวงตา สีสันเข้มข้นกลมกลืนไปด้วยกัน เมื่อเม็ดสีแดงจางลง ทำให้ลายเส้นสีม่วงกลายเป็นสีน้ำเงิน คอนทราสต์กับสีเหลืองที่ไม่ดูโดดเกินไป


Courtesan (after Eisen)

 

แวนโก๊ะได้คัดลอกและดัดแปลงภาพนางโลมของศิลปินชาวญี่ปุ่น Keisai Eisen ที่จัดพิมพ์บนหน้าปกของนิตยสาร "Paris illustré" ในปี 1886 ออกมาเป็นแบบฉบับของเขาเอง เขาใช้สีสดใสและโครงร่างที่เด่นชัด ราวกับว่ามันเป็นไม้แกะสลัก ด้วยทรงผมและเข็มขัด (obi) ที่เธอสวมอยู่ ได้ผูกไว้ที่ด้านหน้าของชุดกิโมโน ทำให้รู้ว่าเธอคือนางโลม ทั้งนี้แวนโก๊ะได้เปลี่ยนฉากหลังจากดอกซากุระในภาพต้นฉบับให้เป็นดอกบัวในสระ รวมทั้งก้านไม้ไผ่ นกกระเรียน และกบแทน ทั้งนี้ภาพนี้มีความหมายที่ซ่อนอยู่ grue (crane) และ grenouille (กบ) เป็นคำแสลงภาษาฝรั่งเศสที่ใช้กล่าวถึง'โสเภณี'

Head of a Skeleton with a Burning Cigarette

 

ภาพโครงกระดูกมีบุหรี่จุดไฟอยู่ในปากนี้เป็นภาพเสียดสีสังคม โดยแวนโก๊ะได้วาดภาพนี้เมื่อต้นปี 1886 ขณะศึกษาอยู่ที่สถาบันศิลปะในแอนต์เวิร์ป ภาพวาดแสดงให้เห็นว่าเขามีความชำนาญด้านกายวิภาคศาสตร์ แม้ว่าการวาดโครงกระดูกเป็นเพียงแบบฝึกหัดมาตรฐานของสถาบัน และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร แต่เขาก็ใช้เวลาว่างวาดภาพนี้ขึ้นมา

Skull

 

ภาพกะโหลกสีโมโนโครมนี้ แวนโก๊ะใช้การไล่โทนสีในการถ่ายทอดภาพนี้ออกมา จนเมื่อเขาทำการศึกษาการใช้สีนี้ เขาถามกับตัวเองในใจว่า สามารถสร้างภาพที่น่าดึงดูดด้วยวิธีนี้ได้? เขาใช้เทคนิคทำให้พื้นผิวของกะโหลกศีรษะดูมันวาว โดยการซิกแซกของพู่กันสีขาว


Bridge in the Rain (after Hiroshige)

 

แวนโก๊ะชื่นชอบชุดสำหรับการทำภาพพิมพ์งานแกะไม้ของญี่ปุ่น เพราะให้สีที่สดใสและองค์ประกอบที่โดดเด่น โดยเขาได้นำมาใช้ในภาพสะพานที่มีสายฝนโปรยปราย ซึ่งได้รับอิทธิพลภาพพิมพ์ของศิลปินชาวญี่ปุ่นชื่อดัง Utagawa Hiroshige แต่ทั้งนี้แวนโก๊ะได้สร้างความแตกต่าง ด้วยการทำให้สีดูเข้มขึ้น ภาพนี้วาดบนผืนผ้าใบขนาดมาตรฐาน โดยเขาต้องการรักษาสัดส่วนของภาพพิมพ์ต้นฉบับและทิ้งเส้นขอบไว้ และเขาเติมตัวอักษรญี่ปุ่นที่คัดลอกมาจากภาพพิมพ์อื่น ๆ เข้าไปด้วย


The Pink Peach Tree


 

 

แวนโก๊ะได้วาดภาพสวนผลไม้มากมายในช่วงสัปดาห์แรกของเขาใน Arles (ฝรั่งเศส) ทั้งนี้ยังมีภาพวาดคล้าย ๆ กัน ที่แวนโก๊ะได้วาดเสร็จในคราวเดียวกัน โดยเขาได้เขียนบอกเล่าไว้ว่า 'ผมได้ลงมือวาดชิ้นงานหมายเลข 20 ลงบนผืนผ้าใบในสวนผลไม้ที่โล่ง ทุ่งสีม่วงที่ไถอย่างประณีต รั้วไม้กกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ต้นพีชสีชมพูสองต้นตัดกับท้องฟ้าสีครามและก้อนเมฆสีขาว อาจเป็นทิวทัศน์ที่ดีที่สุดที่ผมเคยวาดมา' เมื่อเขากลับบ้าน เขาก็เห็นการแจ้งการเสียชีวิตของ Anton Mauve (1838-1888) ลูกพี่ลูกน้องของเขา โดย Mauve เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง ซึ่งครั้งหนึ่ง Van Gogh เคยเรียนกับเขามาก่อน เขาจึงอุทิศงานชิ้นแรกให้กับ Mauve และได้วาดชิ้นงานใหม่นี้ในภายหลังเพื่อมอบให้ Theo

Sunflowers

 

ภาพวาดดอกทานตะวันของแวนโก๊ะเป็นหนึ่งในภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา เขาวาดภาพเหล่านี้ใน Arles เมืองทางตอนใต้ของฝรั่งเศสในปี 1888 และ 1889 เขาได้วาดภาพดอกทานตะวันในแจกันบนผืนผ้าใบขนาดใหญ่ทั้งหมดห้าภาพ โดยมีสีเหลืองสามเฉด เป็นภาพวาดที่ทำให้เขาได้พิสูจน์ว่าภาพวาดแบบสีเดียวสามารถสร้างและนำเสนอผลงานที่หลากหลายได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้เขาเขียนไว่ว่า "ภาพวาดดอกทานตะวันมีความหมายพิเศษสำหรับเขา และเป็นการแสดงความขอบคุณ" แวนโก๊ะได้แขวนสองภาพแรกในห้องของเพื่อนของเขา นั้นก็คือจิตรกร Paul Gauguin ที่มาอาศัยอยู่กับเขาใน Yellow House ระยะหนึ่ง โดย Gauguin ประทับใจดอกทานตะวันที่แวนโก๊ะวาดอย่างมาก ซึ่งเขาคิดว่าเป็นการสื่อถึงตัวตนของแวนโก๊ะ ทั้งนี้แวนโก๊ได้วาดภาพใหม่ระหว่างที่เพื่อนของเขาอยู่ และ Gauguin ได้ขอภาพวาดเพื่อของขวัญชิ้นหนึ่ง แต่ Vincent ปฏิเสธที่จะให้เขา ต่อมาเขาได้วาดขึ้นมาอีกสองภาพ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Van Gogh

Almond Blossom

Almond Blossom_Designs

 

ดอกไม้ที่บานสะพรั่ง กิ่งก้านขนาดใหญ่ตัดกับท้องฟ้าเป็นหนึ่งในงานโปรดของแวนโก๊ะ ดอกอัลมอนด์บานในฤดูใบไม้ผลิเป็นสัญลักษณ์ของการมาถึงของชีวิตใหม่ แวนโก๊ะได้ใช้โครงร่างและทิวทัศน์ธรรมชาติในเทคนิคการสร้างสรรค์ของญี่ปุ่น ซึ่งภาพวาดนี้เป็นของขวัญให้กับ Theo น้องชายและ Jo น้องสะใภ้ เพื่อแสดงความยินดีที่มีลูกชายคนเล็ก Vincent Willem

ทั้งนี้ Theo ได้เขียนในจดหมายว่า 'อย่างที่เราบอกคุณก่อนหน้านี้ เราจะตั้งชื่อเขาตามคุณ และหวังว่าเขาจะมีความมุ่งมั่นและกล้าหาญเหมือนคุณ' และแน่นอนภาพชิ้นนี้ยังคงอยู่ในหัวใจของครอบครัวแวนโก๊ะ และ Vincent Willem ได้เก็บรวบรวมเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์ Van Gogh เช่นกัน


Irises

 

แวนโก๊ะวาดภาพนี้ที่โรงพยาบาลจิตเวชใน Saint-Rémy ภาพวาดส่วนใหญ่ของเขาเป็นการใช้สีสันที่สร้างคอนทราสต์ของสีที่ทรงพลัง ภาพนี้ใช้สีม่วงกับดอกไม้ตัดกับพื้นหลังสีเหลือง ทำให้ภาพดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ดอกไอริสของเดิมนั้นเป็นสีม่วง แต่เมื่อเม็ดสีแดงจางลงจึงเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน แวนโก๊ะสร้างภาพวาดช่อดอกไม้นี้สองภาพ โดยในอีกภาพหนึ่ง เขาใช้สีม่วงและสีชมพูสำหรับดอกไม้ตัดกับพื้นหลังสีเขียว

Wheatfield with Crows

 

Wheatfield with Crows เป็นหนึ่งในภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Van Gogh มักมีผู้คนกล่าวว่านี่เป็นงานสุดท้ายของเขา ท้องฟ้าที่ดูเต็มไปด้วยเมฆ อีกากลุ่มใหญ่ที่บินอยู่บนท้องฟ้า และทางแยกสามที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสัญลักษณ์ของการมาถึงจุดจบของชีวิตของเขา

แต่นั่นเป็นเพียงการบอกเล่าที่แพร่กระจายกันเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วเขาสร้างผลงานอื่น ๆ อีกหลายชิ้นหลังจากงานนี้ แวนโก๊ะต้องการให้ทุ่งข้าวสาลีภายใต้ท้องฟ้าที่มีพายุ เพื่อสื่อถึง 'ความโศกเศร้า ความเหงาสุดขีด' แต่ในขณะเดียวกัน เขาต้องการให้ทุ่งข้าวสาลีสื่อถึง ‘สุขภาพดีและเข้มแข็งในชนบท' แวนโก๊ะใช้พู่กันหยาบ ๆ ผสมกับสี โดยให้ท้องฟ้าสีฟ้าตัดกับข้าวสาลีสีเหลือง ทางเดินสีแดงตัดกับแถบสีเขียวของหญ้า


มองโลกเห็นผ่านสายตาของ Vincent van Gogh

Vincent van Gogh เป็นจิตรกรยุคหลังอิมเพรสชันนิสม์ ผลงานของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อศิลปะในศตวรรษที่ 20 – งานศิลปะของเขาเน้นไปที่ผู้คนและสถานที่รอบๆ ตัวเขาเป็นหลัก ตลอดเส้นทางศิลปะของเขา เขาซึมซับอิทธิพลจากปรมาจารย์ในสมัยของเขา และรวมเอาสิ่งเหล่านี้ไว้ในงานฝีมือของเขาเพื่อสร้างงานศิลปะที่ล้ำสมัย ตั้งแต่ภาพเหมือนของคนทำงานที่ทำงานง่ายๆ สิ่งของในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงทิวทัศน์ที่งดงาม ขอแนะนำศิลปินในตำนานผ่านเลนส์ที่แตกต่าง ด้วยดีไซน์ RHINOSHIELD x Van Gogh Museum ใหม่ของเรา เพื่อโชว์ให้โลกเห็นผ่านสายตาของวินเซนต์ แวนโก๊ะ ผ่านผลงานที่เลือกสรรแล้ว ทั้งการโชว์ฉากชีวิตประจำวันและภูมิทัศน์ของเขา ตลอดจนภาพวาดของ Monet, Lepère, Hokusai และ Hiroshige ผู้ที่มีอิทธิพลต่องานศิลปะของเขาอย่างลึกซึ้ง


 

Montmartre: Windmills and Allotments

 

Montmartre: Windmills and Allotments
เคสคอลเลกชัน van gogh museum Montmartre: Windmills and Allotments

ในปารีส Van Gogh มักวาดภาพกังหันลมที่สวยงามบนเนินเขา Montmartre ในตอนนั้น Montmartre บางส่วนยังคงเป็นพื้นที่ชนบทที่มีสวนและฟาร์มจัดสรร Van Gogh หวังว่าหัวข้อนี้จะขายดี ซึ่งเขาใช้สีที่สดและเป็นสีสันที่บริสุทธิ์ อย่างสีขาวของทุ่งนาและสีฟ้าสดใสของเพิง - ใช้ศิลปะฝรั่งเศสร่วมสมัย เพื่อแสดงแสงแดดในภูมิประเทศนี้ Van Gogh ด้วยการใช้สีน้ำมันที่เจือจางมาก ทำให้ผลงานดูโปร่งแสงและด้าน ทั้งนี้เขายังเลือกผ้าใบที่มีรูปร่างยาวผิดปกติที่สร้างเอฟเฟกต์เหมือนกับเลนส์มุมกว้าง ทำให้เส้นทางและสวนดูกระจายออกไป และดึงดูดสายตาของเราไปยังขอบฟ้า

 

 

Kingfisher by the Waterside

 

Kingfisher by the Waterside
RHINOSHIELD เคส AirPods Kingfisher by the Waterside

Van Gogh มีนกกระเต็นซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้ และภาพนกกระเต็นนั่งริมน้ำกำลังมองหาปลานี้ เมื่อเปรียบเทียบภาพวาดนี้กับนกบนภูเขา เราสังเกตเห็นความแตกต่างสองสามประการ Van Gogh วาดให้หางยาวขึ้นเล็กน้อย ซึ่งอาจจะทำให้สมดุลกับจงอยปากที่ยกขึ้นได้ เขายังให้ตีนนกเกาะอยู่บนก้านกก ขนนกสีฟ้าสดใสของนกกระเต็นดูจืดชืดเล็กน้อยที่นี่

 

Sprig of Flowering Almond in a Glass

 

Sprig of Flowering Almond in a Glass
เคสคอลเลกชัน van gogh museum Sprig of Flowering Almond in a Glass

Van Gogh ใช้เส้นสีแดงแบ่งระนาบภาพและใช้สีแดงเดียวกันเพื่อลงนามในภาพวาดขนาดเล็กของกิ่งก้านดอกอัลมอนด์ ซึ่งต้นอัลมอนด์จะบานเป็นดอกแรกในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อ Van Gogh มาถึง Arles (ฝรั่งเศส) ตอนนั้นยังมีหิมะอยู่บนพื้น และเมื่อวันที่ 2 มีนาคมหรือมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เขาได้เขียนถึงพี่ชายของเขาว่า 'ที่นี่มีน้ำค้างแข็งอย่างหนัก และที่ชนบทยังมีหิมะอยู่ ฉันได้ศึกษาภูมิทัศน์ที่ขาวโพลนโดยมีเมืองอยู่เบื้องหลัง และจากนั้นก็มีการค้นคว้าเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับกิ่งก้านของต้นอัลมอนด์ที่ออกดอกอยู่เต็มสะพรั่ง 2 ภาพ' หลังจากนั้น Van Gogh ก็เริ่มทำงานกับภาพวาดชุดใหญ่ของสวนดอกไม้: อัลมอนด์ ลูกพีช พลัม และต้นแพร์

 

Seascape near Les Saintes-Maries-de-la-Mer

 

Seascape near Les Saintes-Maries-de-la-Mer
เคสคอลเลกชัน RHINOSHIELD Van gogh museum Seascape near Les Saintes-Maries-de-la-Mer
RHINOSHIELD GRIP Seascape near Les Saintes-Maries-de-la-Mer

เราสามารถบอกได้ว่า Van Gogh วาดภาพวิวทะเลนี้จากชายหาด เนื่องจากพบเม็ดทรายในชั้นสี ซึ่งทำที่หมู่บ้านชาวประมง Les Saintes-Maries-de-la-Mer ระหว่าง การเดินทางจาก Arles ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส นอกจากสีน้ำเงินและสีขาวที่เขาวาดลงบนผืนผ้าใบด้วยการขีดเส้นหนาๆ แล้ว เขายังใช้สีเขียวและสีเหลืองเพื่อสร้างคลื่นอีกด้วย เขาใช้สีเหล่านี้ด้วยมีดจานสี เพื่อจับภาพเอฟเฟกต์ของแสงที่ลอดผ่านคลื่นได้อย่างสวยงาม Van Gogh ใจจดใจจ่อเกี่ยวกับสีสันของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เขาเขียนว่า 'มีสีเหมือนปลาแมคเคอเรลหรืออีกนัยหนึ่งคือการเปลี่ยนแปลง - คุณอาจไม่รู้มาก่อนว่ามันเป็นสีเขียวหรือสีม่วง - คุณอาจไม่รู้มาก่อนว่ามันเป็นสีฟ้า - เพราะวินาทีต่อมา เงาสะท้อนของมันเปลี่ยนไป เป็นเฉดสีชมพูหรือเทา' ลายเซ็นสีแดงสดถูกวางไว้อย่างเด่นชัดในเบื้องหน้า: โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น 'โน้ตสีแดงในสีเขียว

 

The Harvest

 

The Harvest

เคส RHINOSHIELD Van Gogh Museum The Harvest

คุณจะสัมผัสได้ถึงความแห้งแล้งและความร้อนในภาพวาดของภูมิประเทศที่ราบเรียบรอบๆ เมือง Arles ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส Van Gogh ได้ผสมผสานสีฟ้าของท้องฟ้าเข้ากับโทนสีเหลืองและสีเขียวสำหรับผืนดินเพื่อบันทึกภาพบรรยากาศของฤดูร้อนนี้เอาไว้ เขาใช้เวลาทำงานในทุ่งข้าวสาลีเป็นเวลาหลายวันภายใต้แสงแดดที่แผดเผา นี่เป็นช่วงเวลาที่มีประสิทธิผลอย่างมาก โดยเขาวาดภาพสิบภาพและภาพวาดห้าภาพในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว จนกระทั่งพายุรุนแรงทำให้ฤดูเก็บเกี่ยวสิ้นสุดลง Van Gogh ต้องการแสดงชีวิตชาวนาและการทำงานบนผืนดิน ซึ่งเป็นธีมที่ทำซ้ำๆ ในงานศิลปะของเขา และระบายสีหลายขั้นตอนของการเก็บเกี่ยว เราจะเห็นทุ่งข้าวสาลีที่ตัดหญ้าแล้วครึ่งหนึ่ง บันได และเกวียนหลายคัน คนเกี่ยวข้าวทำงานอยู่เบื้องหลัง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงตั้งชื่องานว่า La moisson หรือ 'The Harvest' Van Gogh ถือว่ามันเป็นหนึ่งในภาพวาดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเขา โดยเขียนถึง Theo พี่ชายของเขาว่า 'ผืนผ้าใบจะทำลายทุกอย่างที่เหลือทั้งหมด

 

Fishing Boats on the Beach at Les Saintes-Maries-de-la-Mer

 

Fishing Boats on the Beach at Les Saintes-Maries-de-la-Mer

เคส RHINOSHIELD Fishing Boats on the Beach at Les Saintes-Maries-de-la-Mer

เคส AirPods RHINOSHIELD Fishing Boats on the Beach at Les Saintes-Maries-de-la-Mer

ทุกคนเห็นหรือไม่ว่าทำไมเรือของชาวประมงเหล่านี้จึงดูไม่จริงหน่อยๆ เมื่อเทียบกับพื้นผิวที่ไม่เรียบของหาดทรายแล้ว เรือเหล่านี้ได้รับการทาสีในแบบสองมิติมากเกินไป เรือเหล่านี้ประกอบด้วยพื้นที่สีสม่ำเสมอภายในโครงร่างที่แข็งแรง นอกจากนี้ เรือไม่สร้างเงาบนชายหาด Van Gogh คุ้นเคยกับองค์ประกอบโวหารเหล่านี้จากคอลเลกชันภาพพิมพ์ญี่ปุ่นของเขา Van Gogh น่าจะชอบวาดภาพนี้ที่ชายหาดมากกว่า แต่เขาทำไม่ได้ เพราะชาวประมงออกทะเลแต่เช้าตรู่ทุกเช้า เขาวาดเรือที่นั่น แต่ต่อมาก็วาดภาพนี้ที่บ้าน

 

The Yellow House (The Street)

 

The Yellow House (The Street)

AirPods The Yellow House (The Street)

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1888 Van Gogh ได้เช่าห้องสี่ห้องในบ้าน Place Lamartine ใน Arles (ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส) บานประตูหน้าต่างจัตุรัสสีเขียวในภาพวาดนี้เป็นที่ที่ซึ่งเขาอาศัยอยู่ ไม่นานหลังจากย้ายเข้าไปอยู่ใน 'Yellow House' เขาได้ส่งคำอธิบายและภาพร่างของเขาให้กับ Theo ว่า: 'มันยอดเยี่ยมมาก บ้านสีเหลืองเหล่านี้อยู่ท่ามกลางแสงแดดและความสดชื่นที่หาที่เปรียบมิได้ของสีฟ้า' งานชิ้นนี้ Van Gogh ได้เรียกตัวเองว่า "The Street" บันทึกสภาพแวดล้อมในทันทีของศิลปิน เขามักจะรับประทานอาหารที่ร้านอาหารทางด้านซ้าย และบ้านของเพื่อนของเขา บุรุษไปรษณีย์ Joseph Roulin อยู่เลยสะพานรถไฟสายที่สองออกไป ในที่สุด Vincent ก็พบที่แห่งหนึ่งใน Yellow House ซึ่งเขาไม่เพียงแต่สามารถทาสีได้เท่านั้น แต่ยังมีเพื่อนของเขามาพักด้วย แผนของเขาคือเปลี่ยนอาคารหัวมุมสีเหลืองให้เป็นบ้านของศิลปิน ที่ซึ่งจิตรกรที่มีแนวคิดเดียวกันสามารถอยู่อาศัยและทำงานร่วมกันได้

 

Sketch of Starry Night Over Rhône

 

Sketch of Starry Night Over Rhône

RHINOSHIELD Sketch of Starry Night Over Rhône

นี่คือภาพสเก็ตช์ของภาพวาดชื่อดัง 'Starry Night Over the Rhône' ซึ่งอยู่ในจดหมายจาก Vincent van Gogh ถึง Eugène Boch และเดิมเป็นจดหมายที่เขียนโดย Van Gogh ถึง Gauguin ที่ขีดฆ่าและยังไม่ได้ส่ง

 

The Outskirts of Koshigaya in Musashi Province, from the series Thirty-Six Views of Mount Fuji

 

The Outskirts of Koshigaya in Musashi Province, from the series Thirty-Six Views of Mount Fuji

RHINOSHIELD The Outskirts of Koshigaya in Musashi Province, from the series Thirty-Six Views of Mount Fuji

ทัศนียภาพ 36 แห่งของภูเขาไฟฟูจิ (ภาษาญี่ปุ่น: 富士三十六景 Fuji Sanjū-Rokkei) เป็นชื่อภาพพิมพ์แกะไม้สองชุดโดยศิลปินอุกิโยะเอะชาวญี่ปุ่นชื่อ Hiroshige วาดภาพภูเขาไฟฟูจิตามฤดูกาลและสภาพอากาศที่แตกต่างกันของสถานที่และระยะทางต่างๆ ซีรีส์ 1852 ที่จัดพิมพ์โดย Sanoya Kihei ภาพนั้นจะอยู่ในแนวนอนโดยใช้รูปแบบ Chuban ในขณะที่ชุด 1858 จะอยู่ในรูปแบบ Portrait ōban และจัดพิมพ์โดย Tsutaya Kichizō ก่อนหน้านี้ Hokusai ได้จัดการกับเรื่องเดียวกันนี้ในซีรีส์สองเรื่องของเขาเอง นั่นคือ Thirty-six Views of Mount Fuji ซึ่งผลิตจากค. ค.ศ. 1830 ถึง 1832 และ One Hundred Views of Mount Fuji จัดพิมพ์เป็นสามเล่มระหว่างปี ค.ศ. 1834 ถึง ค.ศ. 1849 ภาพพิมพ์นี้แสดงให้เห็นภูเขาไฟฟูจิจากจังหวัดมูซาชิในเมืองคานางาวะสมัยใหม่ และเป็นส่วนหนึ่งของชุดที่สองตั้งแต่ปี 1858

 

Cherry Blossoms and Shrike

 

Cherry Blossoms and Shrike

เคส  RHINOSHIELD Cherry Blossoms and Shrike

Van Gogh ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพพิมพ์ญี่ปุ่นประเภทนี้ซึ่งเรียกว่าคาโชกะ ซึ่งศิลปินชาวญี่ปุ่นมักหยิบเอาวิชาของตนมาจากธรรมชาติ เช่น ภาพพิมพ์จากซีรีส์เรื่องดอกไม้และนก สิ่งเหล่านี้เป็นภาพตามประเพณีร่วมกัน บางครั้งก็มีบทกวี ในญี่ปุ่นภาพพิมพ์สีสันสดใสถูกนำมาใช้ในการตกแต่งภายใน โดยติดบนผนังหรือฉากกั้น Van Gogh ยังแขวนภาพพิมพ์ญี่ปุ่นไว้บนผนังของเขาด้วย เขาชอบความใส่ใจในรายละเอียดอย่างที่ทุกคนได้เห็นในงานของเขานั่นเอง

 

Tulip Fields near The Hague

 

Tulip Fields near The Hague

เคส RHINOSHIELD Tulip Fields near The Hague

 

AirPods Tulip Fields near The Hague

GRIP Tulip Fields near The Hague

(งานนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Netherlands Art Property Collection (Nederlands Kunstbezit-collectie) ซึ่งประกอบด้วยผลงานที่ได้รับการกู้คืนจากเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับความไว้วางใจจากรัฐดัตช์ ผลงานนี้ให้ยืมไปที่พิพิธภัณฑ์ Van Gogh) Claude Monet รู้สึกประทับใจอย่างมากกับทุ่งหลอดไฟสีสันสดใสของฮอลแลนด์ ในต้นฤดูใบไม้ผลิของปี 1886 เขาเขียนจดหมายถึงเพื่อนคนหนึ่งว่าภาพนั้น "ไม่สามารถถ่ายทอดด้วยสีที่น่าสงสารของเราได้" Monet เคยไปเนเธอร์แลนด์มาก่อนแต่ได้วาดภาพทะเลดอกไม้เป็นครั้งแรก ย้อนกลับไปที่ปารีส เขาขายภาพวาดนี้ผ่านตัวแทนจำหน่ายงานศิลปะ Boussod, Valadon & Cie ซึ่ง Theo van Gogh ทำงานอยู่ ค่อนข้างเป็นไปได้ที่ Vincent น้องชายของเขาเห็นมันอยู่ที่นั่น Vincent ค่อย ๆ มาชื่นชมฝีแปรงที่รวดเร็วของ Monet และสีสันสดใส

 

The Palais de Justice, Seen from the Pont Notre-Dame

 

The Palais de Justice, Seen from the Pont Notre-Dame

เคส RHINOSHIELD The Palais de Justice, Seen from the Pont Notre-Dame

Auguste Lepère เกิดและทำงานในปารีส และในปี 1889 เมื่อ “The Palais de Justice” ถูกสร้างขึ้น Lepère ได้กลายเป็นหนึ่งในช่างพิมพ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคของเขา ด้วยสีของเหลวที่ละเอียดอ่อนที่พิมพ์บนกระดาษที่เรียบเนียนและเป็นมันเงา ภาพแกะสลักไม้นี้แสดงถึงความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคของ Auguste Lepère ที่ได้มาจากการแกะสลักไม้ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในฝรั่งเศสในช่วงปี 1800 ต่อมา โดยเฉพาระลึกถึงงานของ Utagawa Hiroshige ซึ่งองค์ประกอบในบรรยากาศมักเกี่ยวข้องกับร่างที่ข้ามสะพาน อิทธิพลจากตะวันออกนี้ ถูก Vincent van Gogh และ Claude Monet ครอบครองไปพร้อมๆ กัน

 

Wild Roses

 

Vincent van Gogh
(1853 - 1890), Saint-Rémy-de-Provence, May - June 1889

oil on canvas, 24.5 cm x 33.5 cm
Credits (obliged to state): Van Gogh Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)

ภาพดอกกุหลาบป่านี้อาจดูสงบและสวยงาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว Van Gogh กำลังเผชิญกับช่วงเวลาวิกฤตทางจิตใจอย่างหนัก เขาเข้ารับการรักษาที่คลินิกจิตเวชใน Saint-Rémy-de-Provence ด้วยความสมัครใจ เพราะหวังว่าจะได้พบความสงบที่นั่น พอเริ่มรู้สึกดีขึ้น เขาก็ออกไปวาดภาพและวาดเส้นในสวนทันที

Van Gogh ถ่ายทอดความบอบบางของดอกไม้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่เขาจงใจวาดใบไม้ให้ต่างออกไป เขาเลือกใช้สีเรียบแบน พร้อมตัดขอบด้วยเส้นสีน้ำเงินเข้ม ทำให้ดูมีมิติแบบภาพวาดมากกว่าความสมจริง

 

Daubigny's Garden

 

Vincent van Gogh
(1853 - 1890), Auvers-sur-Oise, June 1890

oil on canvas, 51 cm x 51.2 cm
Credits (obliged to state): Van Gogh Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)

แวน โก๊ะชื่นชมผลงานของ Charles-François Daubigny มาตลอดชีวิต Daubigny เป็นจิตรกรชื่อดังด้านภาพทิวทัศน์ และเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน Auvers เมื่อ Van Gogh เดินทางมาถึงหมู่บ้าน เขาก็รีบไปเยี่ยมชมบ้านและสวนของ Daubigny ทันที และนี่คือภาพวาดสวนภาพแรกที่ Van Gogh สร้างขึ้น ต่อมาเขายังวาดอีกสองภาพลงบนผ้าใบขนาดใหญ่

เนื่องจากในตอนนั้นเขาไม่มีผ้าใบอยู่ในมือVan Gogh จึงใช้ผ้าขาวบางลายทางสีแดง-ขาว หรือผ้าเช็ดชา แทน เขาเริ่มต้นด้วยการลงพื้นหลังด้วยสีชมพูสด โดยผสมเม็ดสีขาวนำ้หนัก (lead white) เข้ากับสีแดง ซึ่งพื้นหลังสีชมพูนี้ช่วยขับให้สีเขียวของสวนดูโดดเด่นยิ่งขึ้น สีพื้นยังมองเห็นได้ระหว่างจังหวะแปรงของสีหลัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เม็ดสีแดงค่อยๆ ซีดจาง ทำให้พื้นชมพูในปัจจุบันดูเป็นสีเทาแทน

 

Landscape at Twilight

 

Vincent van Gogh (1853 - 1890), Auvers-sur-Oise, June 1890

oil on canvas, 50.2 cm x 101 cm

Credits (obliged to state): Van Gogh Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)

Van Gogh วาดภาพทิวทัศน์ยามเย็นภาพนี้ในทุ่งใกล้หมู่บ้าน Auvers โดยมีปราสาทท้องถิ่นเป็นฉากหลัง เขาวาดกิ่งก้านพันกันของต้นแพร์ด้วยจังหวะแปรงสีดำที่รวดเร็วและสับสน ซึ่งช่วยเน้นความตัดกันระหว่างต้นไม้สีดำเข้มกับท้องฟ้าสีเหลืองสว่างได้อย่างเด่นชัด

ภาพนี้ให้ความรู้สึกคล้ายภาพพาโนรามา ด้วยอัตราส่วนที่กว้างเป็นพิเศษ มีความกว้างถึง 1 เมตร และสูง 50 เซนติเมตร ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 1890 Van Gogh ได้สร้างผลงานที่มีขนาดนี้ทั้งหมด 13 ชิ้น โดยเกือบทั้งหมดเป็นภาพทิวทัศน์ ยกเว้นเพียงชิ้นเดียว และเขาเป็นผู้ตัดผ้าใบจากม้วนใหญ่ด้วยตัวเอง

 

Landscape with Houses

 

Vincent van Gogh (1853 - 1890), Auvers-sur-Oise, May 1890

pencil, brush and oil paint and watercolour, on paper, 44 cm x 54.4 cm
Credits (obliged to state): Van Gogh Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)

Van Gogh เห็นว่าภูมิประเทศรอบๆ Auvers-sur-Oise (FR) นั้นงดงามเต็มไปด้วยเสน่ห์ ในตอนนั้นยังคงมีฟาร์มเก่าๆ ที่มุงหลังคาฟางอยู่ ซึ่งทำให้ชนบทแถบนั้นดูมีบรรยากาศคลาสสิกและน่าหลงใหล

ในภาพนี้ เขาวาดบ้านหลังคาฟางด้วยเส้นโค้งคล้ายคลื่น โดยเริ่มจากการร่างภาพด้วยดินสอก่อน แต่ขณะลงสี เขาไม่ได้ยึดตามเส้นร่างนั้นอย่างเคร่งครัดนัก บางจุดยังสามารถเห็นเส้นดินสอได้อยู่ เขาใช้สีน้ำฟ้าอ่อนเติมท้องฟ้า และใช้จังหวะแปรงกวาดด้วยสีฝุ่นเจือจางสำหรับส่วนอื่นๆ ของภาพ

 

Butterflies and Poppies

 

Vincent van Gogh (1853 - 1890), Saint-Rémy-de-Provence, May-June 1889

oil on canvas, 35 cm x 25.5 cm
Credits (obliged to state): Van Gogh Museum, Amsterdam
(Vincent van Gogh Foundation)

เมื่อ Van Gogh วาดภาพนี้ เขาเริ่มจากวาดดอกไม้และผีเสื้อก่อน แล้วจึงเติมพื้นหลังสีน้ำเงินในภายหลัง ซึ่งสังเกตได้จากจังหวะแปรงสีฟ้าที่กว้างซึ่งบางจุดทับไปบนก้านดอกไม้สีเขียว นอกจากนี้ เขายังเว้นบางส่วนของผ้าใบไว้โดยไม่ลงสี ทำให้เห็นเนื้อผ้าเปล่าๆ อย่างชัดเจน

ด้วยการใช้เฉดสีเขียวหลากหลาย Van Gogh สร้างมิติให้กับความซับซ้อนของก้าน ใบ และกลีบดอก เขาถ่ายทอดความรู้สึกของดอกป๊อปปี้ที่บอบบางได้อย่างมีชีวิตชีวา กลีบบางดอกยังเป็นเพียงดอกตูมที่กำลังจะผลิบาน

 

Honmoku Cliff in Musashi Province - Utagawa Hiroshige

 

Utagawa Hiroshige (1797 - 1858), Edo, fourth month 1858

colour woodcut on Japan paper, 34 cm x 22 cm
Credits (obliged to state): Van Gogh Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)

Vincent van Gogh สะสมภาพพิมพ์ญี่ปุ่นไว้หลายร้อยชิ้น เขาเริ่มสะสมระหว่างที่อาศัยอยู่ในปารีสกับน้องชายของเขา Theo เขาศึกษาภาพพิมพ์เหล่านี้อย่างจริงจัง และเชื่อมั่นว่างานศิลปะในอนาคตควรเต็มไปด้วยสีสันและความรื่นเริง เช่นเดียวกับศิลปะแบบญี่ปุ่น

ภาพพิมพ์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ในคอลเลกชันของ Van Gogh ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Van Gogh Museum ในปัจจุบัน ขอเชิญชื่นชมผลงานพิมพ์สีสดใสมากมายจากคอลเลกชันของเขา และสัมผัสความประทับใจแบบเดียวกับที่ Van Gogh เคยรู้สึก

 

Mount Fuji to the Left of the Tōkaidō -
Utagawa Hiroshige

 

Utagawa Hiroshige (1797 - 1858), Edo, fourth month 1858

colour woodcut on Japan paper, 34 cm x 22 cm
Credits (obliged to state): Van Gogh Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)

Vincent van Gogh สะสมภาพพิมพ์ญี่ปุ่นไว้หลายร้อยชิ้น เขาเริ่มสะสมระหว่างที่อาศัยอยู่ในปารีสกับน้องชายของเขา Theo เขาศึกษาภาพพิมพ์เหล่านี้อย่างจริงจัง และเชื่อมั่นว่างานศิลปะในอนาคตควรเต็มไปด้วยสีสันและความรื่นเริง เช่นเดียวกับศิลปะแบบญี่ปุ่น

ภาพพิมพ์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ในคอลเลกชันของ Van Gogh ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Van Gogh Museum ในปัจจุบัน ขอเชิญชื่นชมผลงานพิมพ์สีสดใสมากมายจากคอลเลกชันของเขา และสัมผัสความประทับใจแบบเดียวกับที่ Van Gogh เคยรู้สึก

 

Yoshiwara: The Field of Floating Islands in the Fuji Marshes - Utagawa Hiroshige

 

 

Utagawa Hiroshige (1797 - 1858), Edo, seventh month 1855

Vincent van Gogh สะสมภาพพิมพ์ญี่ปุ่นไว้หลายร้อยชิ้น เขาเริ่มสะสมระหว่างที่อาศัยอยู่ในปารีสกับน้องชายของเขา Theo เขาศึกษาภาพพิมพ์เหล่านี้อย่างจริงจัง และเชื่อมั่นว่างานศิลปะในอนาคตควรเต็มไปด้วยสีสันและความรื่นเริง เช่นเดียวกับศิลปะแบบญี่ปุ่น

ภาพพิมพ์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ในคอลเลกชันของ Van Gogh ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Van Gogh Museum ในปัจจุบัน ขอเชิญชื่นชมผลงานพิมพ์สีสดใสมากมายจากคอลเลกชันของเขา และสัมผัสความประทับใจแบบเดียวกับที่ Van Gogh เคยรู้สึก

 

Kawasaki: The Village of Namamugi on the
Tsurumi River - Utagawa Hiroshige

 

Utagawa Hiroshige (1797 - 1858), Edo, seventh month 1855

colour woodcut on Japan paper, 37.9 cm x 25.9 cm Credits (obliged to state): Van Gogh Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)

Vincent van Gogh สะสมภาพพิมพ์ญี่ปุ่นไว้หลายร้อยชิ้น เขาเริ่มสะสมระหว่างที่อาศัยอยู่ในปารีสกับน้องชายของเขา Theo เขาศึกษาภาพพิมพ์เหล่านี้อย่างจริงจัง และเชื่อมั่นว่างานศิลปะในอนาคตควรเต็มไปด้วยสีสันและความรื่นเริง เช่นเดียวกับศิลปะแบบญี่ปุ่น

ภาพพิมพ์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ในคอลเลกชันของ Van Gogh ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Van Gogh Museum ในปัจจุบัน ขอเชิญชื่นชมผลงานพิมพ์สีสดใสมากมายจากคอลเลกชันของเขา และสัมผัสความประทับใจแบบเดียวกับที่ Van Gogh เคยรู้สึก

Seki: Junction of the Road to Ise Shrine -
Utagawa Hiroshige

 

Utagawa Hiroshige (1797 - 1858), Edo, seventh month 1855

colour woodcut on Japan paper, 36 cm x 23 cm
Credits: Van Gogh Museum, Amsterdam (gift from Tokyo Shimbun)

Vincent van Gogh สะสมภาพพิมพ์ญี่ปุ่นไว้หลายร้อยชิ้น เขาเริ่มสะสมระหว่างที่อาศัยอยู่ในปารีสกับน้องชายของเขา Theo เขาศึกษาภาพพิมพ์เหล่านี้อย่างจริงจัง และเชื่อมั่นว่างานศิลปะในอนาคตควรเต็มไปด้วยสีสันและความรื่นเริง เช่นเดียวกับศิลปะแบบญี่ปุ่น

ภาพพิมพ์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ในคอลเลกชันของ Van Gogh ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Van Gogh Museum ในปัจจุบัน ขอเชิญชื่นชมผลงานพิมพ์สีสดใสมากมายจากคอลเลกชันของเขา และสัมผัสความประทับใจแบบเดียวกับที่ Van Gogh เคยรู้สึก

 

Cranes and Cherry Blossoms, from the series Illustrations of Plants, Trees, Flowers and Birds

 

Togaku, Tokyo, 1875-1900

colour woodcut on Japan paper, 38 cm x 26 cm
Credits (obliged to state): Van Gogh Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)

Vincent van Gogh สะสมภาพพิมพ์ญี่ปุ่นไว้หลายร้อยชิ้น เขาเริ่มสะสมระหว่างที่อาศัยอยู่ในปารีสกับน้องชายของเขา Theo เขาศึกษาภาพพิมพ์เหล่านี้อย่างจริงจัง และเชื่อมั่นว่างานศิลปะในอนาคตควรเต็มไปด้วยสีสันและความรื่นเริง เช่นเดียวกับศิลปะแบบญี่ปุ่น

ภาพพิมพ์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ในคอลเลกชันของ Van Gogh ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Van Gogh Museum ในปัจจุบัน ขอเชิญชื่นชมผลงานพิมพ์สีสดใสมากมายจากคอลเลกชันของเขา และสัมผัสความประทับใจแบบเดียวกับที่ Van Gogh เคยรู้สึก

 

Tiger in the Jungle (Tigre dans les jungles)

 

Paul Elie Ranson (1861 - 1909), 1893

lithograph in three colours on wove paper, 58.6 cm x 41.5 cm

Credits (obliged to state): Van Gogh
Museum, Amsterdam (Vincent van Gogh Foundation)

ศิลปินชาวฝรั่งเศส Paul Ranson หยิบยืมแรงบันดาลใจของภาพพิมพ์ชิ้นนี้มาจากภาพพิมพ์แกะไม้ของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงอ่อนช้อย ลวดลายอาราเบสก์ และลายดอกไม้ ต่างก็ได้รับอิทธิพลจากศิลปะญี่ปุ่นเช่นกัน ภาพนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องมิติหรือมุมมองตามแบบตะวันตก — เสือที่มีเส้นขอบสีดำถูกวาดให้แบนราบ ราวกับภาพตัดจากกระดาษแข็ง ซึ่งเป็นเจตนาของ Ranson โดยตรง เพื่อให้ภาพดูตกแต่งและสื่อถึงความเป็น “ศิลปะสมัยใหม่”

เมื่อมองแวบแรก ภาพดูเหมือนจะถูกพิมพ์ลงบนกระดาษสีเหลือง แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น ขอบภาพสีครีมแสดงให้เห็นว่าพื้นหลังสีเหลืองนั้นเกิดจากการพิมพ์ลงไปภายหลัง สีพื้นนี้น่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากกระดาษสีเหลืองที่ใช้ในชุดภาพพิมพ์ Volpini ของ Paul Gauguin

Tigre dans la jungle ถูกตีพิมพ์เป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้ม L’Estampe originale ซึ่งเป็นชุดรวมภาพพิมพ์จำนวน 95 ชิ้น แบ่งตีพิมพ์ออกเป็น 9 ช่วง อัลบั้มนี้ตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อกลุ่มนักสะสมภาพพิมพ์ร่วมสมัยที่กำลังเติบโต โดยเน้นเฉพาะภาพพิมพ์ต้นฉบับ ได้แก่ ลิโธกราฟ ภาพกัดกรด และภาพพิมพ์แกะไม้ ซึ่งออกแบบและพิมพ์โดยศิลปินผู้สร้างสรรค์เองทั้งหมด ผู้ร่วมโครงการมีทั้งศิลปินหน้าใหม่และศิลปินชื่อดัง ทำให้อัลบั้มนี้กลายเป็นภาพรวมที่งดงามของแนวทางศิลปะปลายศตวรรษที่ 19 ปัจจุบัน Van Gogh Museum มีชุดภาพนี้ฉบับสมบูรณ์อยู่ในครอบครอง

 

Inspiring the next generation

ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับเราที่มีโอกาสในการนำผลงานของ Van Gogh ส่งต่อผู้คนในวงกว้างขึ้น ในรูปแบบเคสกันกะแทกที่แข็งแรงที่สุด ด้วยการพิมพ์ที่มีคุณภาพก่อนส่งตรงถือมือทุกท่าน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคอลเลกชันนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้ลองเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ค้นพบงานอดิเรกใหม่ ๆ จากนี้จะไม่มีคำว่าล้มเหลว แต่จะมีแต่ประสบการณ์อันมีค่าเท่านั้น

 

เยี่ยมชมเคสกันกระแทกคอลเลกชัน RHINOSHIELD x Van Gogh Museum ทั้งหมด ที่นี่

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับชีวิตและผลงานของ Van Gogh ได้ที่หน้าเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Van Gogh Museum ที่นี่